วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กิจกรรมวันที่ 24-28 มกราคม 2554








ตอบ 3 ค และ ง


การกำจัดขยะพลาสติกสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำไปฝัง (Burial) หรือนำไปถมดิน (Landfill) การนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิง (Incineration) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) อย่างไรก็ตาม การนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่โดยทั่วไปแล้วถูกพิจารณาว่า เป็นทางเลือกที่ให้ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดทางหนึ่ง ในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งทาง บริษัท พลาสท์โปร จำกัด ขอเป็นส่วนร่วมอีกทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก เพื่อช่วยให้ประเทศไทยน่าอยู่ มีสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี และเก็บไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานสืบต่อไป



ที่มาของข้อมูล : http://www.lg-plus.com/plastpro/index_plastpro.html



ตอบ 1 ก ค และ ฉ


น้ำ ค้างเกิดจากการควบแน่นของไอน้ำบนพื้นผิวของวัตถุ ซึ่งมีการแผ่รังสีออกจนกระทั่งอุณหภูมิลดต่ำลงกว่าจุดน้ำค้างของอากาศซึ่ง อยู่รอบๆ เนื่องจากพื้นผิวแต่ละชนิดมีการแผ่รังสีที่แตกต่างกัน ดังนั้นในบริเวณเดียวกัน ปริมาณของน้ำค้างที่ปกคลุมพื้นผิวแต่ละชนิดจึงไม่เท่ากัน


ที่ มาของข้อมูล : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=2f917348623faa72&pli=1






ตอบ 4 การเปลี่ยขนาดภาชนะที่บรรจุสารละลายที่ทำปฏิกิริยา


การเกิดปฏิกิริยาเคมี
ถ้า นักเรียนสังเกตรอบๆตัวเรา จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการเปลี่ยนแปลงใด เป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมี ... มีข้อสังเกตในการเกิดปฏิกิริยาเคมี คือจะต้องมีสารใหม่เกิดขึ้นเสมอ สารใหม่ที่เกิดขึ้นจะต้องมีสมบัติเปลี่ยนไปจากสารเดิม... เช่น การเผาไหม้ของวัตถุที่เป็นเชื้อเพลิง การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร การสึกกร่อนของอาคารบ้านเรือน การบูดเน่าของอาหาร เป็นต้น

ปฏิริยาเคมีคืออะไร
ปฏิกิริยาเคมี หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสารแล้วส่งผลให้ได้สารใหม่ที่มีคุณสมบัติ เปลี่ยนไปจากเดิม โดยในการเกิดปฏิกิริยาเคมี จะต้องเกิดจากสารตั้งต้น (reactant) ทำปฏิกิริยากัน แล้วเกิดเป็นสารใหม่ เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (product)

ปฏิกิริยาเคมีแบ่งออกได้ 5 ชนิด ได้แก่ 1. ปฏิกิริยาการรวมตัว A +Z -------> AZ

2.
ปฏิกิริยา การสลายตัว
AZ -------> A +Z

3.
ปฏิกิริยา การแทนที่เชิงเดี่ยว
A + BZ -------> AZ + B

4.
ปฏิกิริยา การแทนที่เชิงคู่
AX+BZ -------> AZ + BX

5.
ปฏิกิริยา สะเทิน HX+BOH -------> BX + HOH

สังเกตได้อย่างไรว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นเราสามารสังเกตได้ ว่ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นโดยสังเกตสิ่งต่อไปนี้
มีฟองแก๊ส
มีตะกอน
สีของสารเปลี่ยนไป
อุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ที่ มาของข้อมูล : http://www.tps.ac.th/~narin/basicchem/index_files/page0013.htm






ตอบ 2 0.25 / 0.18
พลังงาน กับการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในการเกิดปฏิกิริยาเคมี นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสารใหม่เกิดขึ้นแล้ว จะต้องมีพลังงานเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง มักจะให้พลังงานความร้อน พลังงานแสง หรือพลังงานชนิดอื่นเป็นผลพลอยได้ การเผาผลาญอาหารในร่างกายของเรา ก็มีพลังงานเกิดขึ้น เราจึงสามารถนำพลังงานจากการเผาผลาญอาหารมาใช้ในการดำรงชีวิต เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิด ปฏิกิริยาเคมี มี 2 ประเภท คือ
1. ปฏิกิริยาคายความร้อน (
exothermic reaction) คือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแล้วให้พลังงานความร้อน ออกมา แก่สิ่งแวดล้อม เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาผลาญอาหารในร่างกาย เป็นต้น
2. ปฏิกิริยาดูดความร้อน (
endothermic reaction) คือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแล้ว ดูดความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าไป ทำให้สิ่งแวดล้อมมีอุณหภูมิลดลง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน

ปฏิกิริยา การเผาไหม้
C + O2 ------> CO2
ปฏิกิริยาการสันดาปในแก๊สหุง ต้ม 2C4H10 + 13O2 ------> 8CO2 + 10H2Oปฏิกิริยาการเกิดฝน กรด SO3 + H2 O ------> H2SO4 ปฏิกิริยาการเกิดสนิม เหล็ก 4Fe + 3O2 ------> 2Fe2O3 . H2O
ที่ มาของข้อมูล : http://www.tps.ac.th/~narin/basicchem/index_files/page0013.htm






ตอบ 4 ก และ ง


  • หมู่ ที่1A ลิเทียม โซเดียม โพแทสเซียม รูบิเดียม ซีเซียม แฟรนเซียม
  • หมู่ ที่2A เบริลเลียม แมกนีเซียม แคลเซียม สตรอนเทียม แบเรียม เรเดียม
  • หมู่ ที่3A โบรอน อะลูมิเนียม
  • หมู่ ที่4A คาร์บอน ซิลิกอน เจอร์เมเนียม
  • หมู่ ที่5A ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส อะซินิค(สารหนู)
  • หมู่ ที่6A ออกซิเจน ซัลเฟอร์(กำมะถัน) ซีลีเนียม เทลลูเรียม
  • หมู่ ที่7A ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีน ไอโอดีน แอสทาทีน
  • หมู่ ที่8A ฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปตอน ซีนอน เรดอน
ยกเว้น ไฮโดรเจน เพราะยังถกเถียงกันอยู่ว่าจะจัดลงไปที่หมู่ 1 หรือ 7 ดี เพราะคุณสมบัติเป็นกึ่งๆ กัน ระหว่าง 1A กับ 7A และธาตุประเภททรานซิชัน โดยทั่วไป ไม่แนะนำให้จำ แต่อาศัยดูตารางเอา แต่ควรจำคุณสมบัติของธาตุที่ออกสอบบ่อยๆ ให้ได้ ควรจะใช้หลักการในการท่องให้ง่ายขึ้น เช่นการใช้ตัวย่อของแต่ละคำมารวมกันเป็นประโยคที่จำง่ายๆ ซึ่งจะทำให้เราจำได้ไวขึ้น


ที่มาของข้อมูล : http://itshee.com/pages/periodictable.html









ตอบ 1 Na+




อิเล็กตรอนที่วิ่งอยู่รอบๆนิวเคลียสนั้น จะอยู่กันเป็นชั้นๆตามระดับพลังงาน ระดับพลังงานที่อยู่ใกล้นิวเคลียสที่สุด (ชั้น K)จะมีพลังงานต่ำที่สุด และอิเล็กตรอนในระดับพลังงานชั้นถัดออกมาจะมีพลังงานสูงขี้นๆตามลำดับพลังงานของ อิเล็กตรอนของระดับชั้นพลังงาน K <>


ที่มาของข้อมูล : http://www.kr.ac.th/tech/detchm48/atommodel100.html






ตอบ 3 A กับ Y


ธาตุเคมี คือ อนุภาคมูลฐานของสสารหรือสารต่างๆที่ไม่อาจแบ่งแยกหรือเปลี่ยนแปลงให้เป็น สสารอื่นได้อนุภาคที่ เล็กที่สุดของธาตุเรียกว่า อะตอม ซึ่งประกอบด้วยอิเล็กตรอนวิ่ง วนรอบนิวเคลียสที่ ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน
เลขอะตอมของ ธาตุ (ใช้สัญลักษณ์ Z) คือ จำนวนของโปรตอนในอะตอมของธาตุ ตัวอย่างเช่น เลขอะตอมของธาตุคาร์บอน นั้นคือ 6 ซึ่งหมายความว่า อะตอมของคาร์บอนนั้นมีโปรตอนอยู่ 6 ตัว ทุกๆอะตอมของธาตุเดียวกันจะมีเลขอะตอมเท่ากันเสมอ ซึ่งก็คือมีจำนวนโปรตอนเท่าๆกัน แต่อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันอาจมีจำนวนนิวตรอนไม่ เท่ากัน ซึ่งเรียกว่า ไอโซโทปของ ธาตุ มวลของอะตอม (ใช้สัญลักษณ์ A) นั้นวัดเป็นหน่วยมวลอะตอม (unified atomic mass units; ใช้สัญลักษณ์ u) ซึ่งเท่ากับผลรวมของจำนวนโปรตอน และ นิวตรอนในนิวเคลียสของอะตอม ธาตุบางประเภทนั้นจะเป็นสารกัมมันตรังสี และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธาตุชนิดอื่น เนื่องจากการสลายตัวทางกัมมันตภาพรังสี




ตอบ 2 2 8 8 / 2 8




ระดับพลังงานชั้นย่อย s มี e- ได้ ไม่เกิน 2 ตัว ระดับพลังงานชั้นย่อย p มี e- ได้ ไม่เกิน 6 ตัวระดับพลังงานชั้นย่อย d มี e-ได้ ไม่เกิน 10 ตัว ระดับพลังงานชั้นย่อย f มี e-ได้ ไม่เกิน 14 ตัว
เขียนเป็น s2 p6 d10 f14


ที่มาของข้อมูล : http://www.kr.ac.th/tech/detchm48/atommodel100.html






ตอบ 1 AB AC BC
2 2
  • คาบที่ 1 มี 2 ธาตุ คือ H , He
  • คาบที่ 2 มี 8 ธาตุ คือ ตั้งแต่ Li ถึง Ne
  • คาบที่ 3 มี 8 ธาตุ คือ ตั้งแต่ Na ถึง Ar
  • คาบที่ 4 มี 18 ธาตุ คือ ตั้งแต่ K ถึง Kr
  • คาบที่ 5 มี 18 ธาตุ คือ ตั้งแต่ Rb ถึง Xe
  • คาบที่ 6 มี 32 ธาตุ คือ ตั้งแต่ Cs ถึง Rn
  • คาบที่ 7 มี 19 ธาตุ คือ ตั้งแต่ Fr ถึง Ha
รวมทั้งหมด 105 ธาตุ เป็นก๊าซ 11 ธาตุ คือ H , N , O , F , Cl , He , Ne , Ar , Kr , Xe และ Rn เป็นของเหลว 5 ธาตุ คือ Cs , Fr , Hg , Ga และ Br ที่เหลือเป็นของแข็ง







ตอบ 3 รังสีแกมมาจากโคบอลต์-60 สามารถทำลายแบกทีเรีย จึงใช้ในการถนอมอาหาร


ประโยชน์จากการใช้ธาตุกัมมันตรังสี 1. ด้านธรณีวิทยา การ ใช้คาร์บอน-14 (C-14) คำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ
2. ด้านการแพทย์ ใช้ไอโอดีน-131 (I-131) ในการติดตามเพื่อศึกษาความผิดปกติของต่อมไธรอยด์ โคบอลต์-60 (Co-60) และเรเดียม-226 (Ra-226) ใช้รักษาโรคมะเร็ง
3. ด้านเกษตรกรรม ใช้ฟอสฟอรัส 32 (P-32) ศึกษาความต้องการปุ๋ยของพืช ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการ และใช้โพแทสเซียม-32 (K–32) ในการหาอัตราการดูดซึมของต้นไม้
4. ด้านอุตสาหกรรม ใช้ธาตุกัมมันตรังสีตรวจหารอยตำหนิ เช่น รอยร้าวของโลหะหรือท่อขนส่งของเหลว ใช้ธาตุกัมมันตรังสีในการ ตรวจสอบและควบคุมความหนาของวัตถุ ใช้รังสีฉายบน อัญมณีเพื่อให้มีสีสันสวยงาม
5. ด้านการถนอมอาหาร ใช้รังสีแกมมาของธาตุโคบอลต์-60 (Co–60) ปริมาณที่พอเหมาะใช้ทำลายแบคทีเรียในอาหาร จึงช่วยให้เก็บรักษาอาหารไว้ได้นานขึ้น
6. ด้านพลังงาน มีการใช้พลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในเตา ปฏิกรณ์ปรมาณูของยูเรีเนียม-238 (U-238) ต้มน้ำให้กลายเป็นไอ แล้วผ่านไอน้ำไปหมุนกังหัน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า


ที่ มาของข้อมูล : http://nakhamwit.ac.th/pingpong_web/m&c_web/Content_10.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น